ในปัจจุบันนี้ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคทั่วโลกต่างหั
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้
1) เรียนรู้ข้อมูลพื้นฐานของรถยนต์
- ผู้ขับขี่ควรเรียนรู้มาตรฐานเกี่
ยวกับระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่ ารถยนต์ไฟฟ้าคันนั้นมี ระยะทางการวิ่งได้ไกลที่สุดแค่ ไหนต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ ว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่น
นั้น ๆ เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ระยะทางที่สามารถขับขี่ได้จริ งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น พฤติกรรมในการขับขี่ สภาพถนน หรือ สภาพอากาศ เป็นต้น โดยมาตรฐานการวั ดระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าที่นิ ยมใช้ในประเทศไทย มี 2 มาตรฐานด้วยกัน ได้แก่
- มาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) เป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นภายใต้
ความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ในสหภาพยุโรป เพื่อใช้เป็นบรรทั ดฐานในการทดสอบอัตราการสิ้นเปลื องเชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิ ษของรถยนต์ในยุโรป ซึ่งประกอบด้ วยการทดสอบในสภาวะต่าง ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดในห้ องทดลองแบบปิด เช่น การจำลองสภาวะการขับขี่ในตัวเมื องหรือบริเวณชนบท ซึ่งจะมีการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ในการขับขี่ เช่น อุณหภูมิ ความเร็ว สภาพพื้นถนน เป็นต้น - มาตรฐาน WLTP (Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure) เป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้
นโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่ งสหประชาชาติในยุโรป (United Nations Economic Commission for Europe หรือ UNECE) เพื่อใช้ในการทดสอบอัตราการสิ้ นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่ อยมลพิษของรถยนต์ โดยได้รับการยอมรั บจากนานาประเทศทั่วโลกว่ามี ความแม่นยำและใกล้เคียงกั บการใช้งานจริง และได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่ใช้ ในยุโรปแทนที่มาตรฐาน NEDC ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา ซึ่งการทดสอบในมาตรฐาน WLTP จะประกอบด้วยรูปแบบการขับขี่ที่ หลากหลาย และเงื่อนไขการขับขี่ที่ใกล้เคี ยงกับการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบด้ วยความเร็วและอัตราเร่งที่ต่ างกัน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ระบบปรับอากาศ และระบบอื่น ๆ ที่มีผลต่อการใช้พลังงาน - นอกจากนี้ เจ้าของรถควรทำความเข้าใจเกี่
ยวกับความจุของแบตเตอรี่ซึ่งเป็ นตัวเลขที่บ่งบอกถึ งความสามารถในการกักเก็บและจ่ ายกระแสไฟของรถยนต์ไฟฟ้าคันนั้น ๆ ด้วยว่า สามารถจ่ายไฟได้มากน้อยแค่ ไหนและนานเท่าไหร่ ซึ่งระยะทางในการขับขี่สูงสุดที่ ได้ของแต่ละรุ่นก็ขึ้นอยู่กั บหลายปัจจัย เช่น การเหยียบคันเร่งและพฤติ กรรมการขับขี่ของผู้ใช้ หากเหยียบคันเร่งหนัก ขับขี่ค่อนข้างเร็ว จะทำให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ แรงดันสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ระยะทางในการวิ่ งของรถยนต์ไฟฟ้าลดน้อยลงตามไปด้ วย
2) แยกแยะประเภทการชาร์จของรถยนต์
โดยหลัก ๆ แล้ว เราสามารถแบ่งประเภทการชาร์
1. การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current – AC)
คือการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยใช้
2. การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current – DC)
คือการชาร์จผ่านสถานีชาร์จตามห้
3) เตรียมความพร้อมระบบไฟฟ้าที่บ้
- · โดยทั่วไป สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้
าน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้มิเตอร์ ไฟฟ้าแบบ 30 แอมป์ เนื่องจากจะช่วยเรื่องการแบ่ งกระแสไฟ ทำให้ไม่ต้องกังวลใจเรื่ องไฟตกหรือไฟกระชาก สำหรับเรื่องเฟสไฟบ้าน สามารถใช้ได้กับทั้งไฟ 1 เฟสและ 3 เฟส และเพื่อลดระยะเวลาการชาร์จให้ สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ายังควรติ ดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ าแบบ Wall Box ไว้ที่บ้าน โดยสามารถตรวจสอบประเภทและแจ้ งขอเปลี่ยนประเภทเฟสไฟบ้านได้ที่ การไฟฟ้าใกล้บ้านของท่าน
4) วางแผนก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความอุ่นใจทุกเส้นทางใกล้
- · ก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าต้
องวางแผนการชาร์จไฟฟ้าให้ดี ซึ่งถ้าหากมีจุดหมายปลายทางที่ ชัดเจนแล้ว สามารถตรวจสอบสถานีชาร์จรถยนต์ ไฟฟ้าตามแนวเส้นทางการเดินทางผ่ านทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ หากยังไม่แน่ใจในจุดหมาย ก็สามารถวางแผนแบบเผื่อระยะได้ โดยเมื่อมีกำลังไฟฟ้าทั้ งหมดเหลือสำหรับระยะทางประมาณ 100-150 กิโลเมตร ควรเริ่มวางแผนหาที่ชาร์จได้ทั นที เพราะในบางครั้งอาจจะมีกรณีหั วชาร์จไม่พร้อมใช้งานหรือมี รถยนต์คันอื่นจอดชาร์จไฟอยู่ ตามสถานีชาร์จ - · นอกจากนี้ เรายังสามารถค้นหาสถานีชาร์
จรถยนต์ไฟฟ้าได้ผ่ านหลากหลายแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน My BMW, EVOLT, EleXa และอื่น ๆ โดยแต่ละแอปพลิเคชันจะมีวิธี จองหัวชาร์จแตกต่างกันออกไป พร้อมช่วยคำนวณระยะทางก่อนถึ งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งยังสามารถชำระเงินค่ าชาร์จไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ผ่านบัตรเครดิต หรือการเติมเงินผ่านดิจิทั ลวอลเล็ตรูปแบบต่าง ๆ ก็ได้
สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้
ความรู้และเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ จะช่วยลดข้อกังวลใจของผู้ขับขี่
ยนตรกรรมไฟฟ้า (Electrification) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เสริ