ทดลองขับ MINI COOPER SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ มินิ

ทดลองขับ MINI COOPER SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ มินิ


        MINI Cooper SE เป็นมินิพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ใช้พื้นฐานของตัวถังแฮทช์แบ็ก 3 ประตู (F56) ด้วยการเปลี่ยนชุดขับเคลื่อนจากรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดามาเป็นชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทั้งหมด แต่ก็ยังคงคาแรคเตอร์เอกลักษ์ของการเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าตามสไตล์มินิคงอยู่เช่นเดิม


       การออกแบบตัวรถยังคงความคล่องตัวในสไตล์ MINI ด้วยเส้นสายการออกแบบที่โดดเด่นและชัดเจนสะท้อนถึงเทคโนโลยีการขับขี่แห่งอนาคตที่ล้ำสมัย ส่วนฝาครอบที่ชาร์จไฟฟ้าอยู่เหนือล้อหลังด้านขวา บนฝาแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric สัญลักษณ์นี้ยังปรากฎบริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง ประตูท้ายรถ และกระจังหน้า ซึ่งสะดุดตาด้วยแถบสีเหลืองรับกับฝาครอบกระจกข้างในสีเดียวกัน สร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวให้แก่ MINI Cooper SE ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Corona พร้อมยาง Run-Flat ขนาด 205/45-17 เท่ากันทั้ง 4 ล้อ


       MINI Cooper SE ภายในห้องโดยสารเน้นโทนสีดำ ตัวเบาะเป็นหนังสีดำ แผงหน้าปัดมาในดีไซน์เฉพาะรุ่นเช่นเดียวกัน โดดเด่นด้วยจอสีขนาด 5.5 นิ้ว ในดีไซน์ Black Panel ด้านหลังพวงมาลัย ตัวมาตรวัดความเร็วในการขับขี่จะแสดงผลทั้งในแบบตัวเลขและแถบทรงกลมอยู่บริเวณกลางจอ ส่วนด้านข้างเป็นการแสดงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับการขับขี่ อย่างระดับพลังงานของแบตเตอรี่แรงดันสูง โหมดการขับขี่ สถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และสัญญาณแสดงสถานะการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ โดยจะเปลี่ยนสีไฟตามสถานะการชาร์จ หากมีความผิดปกติใด ๆ ในระหว่างการชาร์จ จะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยไฟสีแดง


        สำหรับจอระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้วบริเวณแผงคอนโซลกลาง รองรับการแสดงผลจากบริการ MINI Connected ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ  อย่างจอ eDrive ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและระยะทางที่วิ่งได้ รวมถึงทางเลือกต่าง ๆ ในการเพิ่มระยะทางในการขับขี่ ตัวระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน แยกการระบายอากาศและการควบคุมอุณหภูมิระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า รองรับการสั่งงานผ่าน MINI Connected ได้


        MINI Cooper SE แทนที่เครื่องยนต์ปกติด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบส่งกำลังและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังระบบต่าง ๆ จะติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของรถ ส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้ตัวรถ ประสิทธิภาพการจุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตัวมอเตอร์ไฟฟ้าใน MINI Cooper SE ไม่เพียงมีขนาดเล็กกว่าเครื่องยนต์แบบธรรมดาทั่วไป แต่ยังมีน้ำหนักเบากว่า จึงทำให้กระจายน้ำหนักดี ซึ่งเมื่อรวมกับจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของ MINI Cooper SE รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งของแบตเตอรี่บริเวณใต้ท้องรถที่อยู่ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง ทำให้ได้รับการออกแบบให้สูงกว่า MINI รุ่นอื่น ๆ เพียงแค่ 18 มม. เท่านั้น


        ซึ่งเอกลักษณ์การขับขี่ที่เร้าใจสไตล์โกคาร์ทที่เป็นตำนานของ MINI ยังคงถูกถ่ายทอดมายัง MINI Cooper SE อย่างครบถ้วน การควบคุมที่ปราดเปรียวและแม่นยำด้วยช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาและปรับเซ็ทมาโดยเฉพาะ จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายน้ำหนักและการเข้าโค้งที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ช่วยให้ไม่สูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ทำให้การ “ซิ่ง” บนท้องถนนทำได้เร้าใจยิ่งขึ้น แถมด้วยโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN และ GREEN+ ซึ่งสามารถช่วยจัดสรรการใช้ไฟฟ้าเพิ่มระยะทางในการขับขี่ หรืออยากจะขับขี่แบบสปอร์ตก็ยังสามารถเลือกใช้ได้ด้วยปลายนิ้ว


        อีกหนึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของ BMW Group คือ การนำพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่ (regenerative brake) ด้วยระบบ one-pedal ผู้ขับสามารถควบคุมความเร็วได้โดยใช้เพียงคันเร่งเท่านั้น แถมยังสามารถชะลอความเร็วของรถด้วยการผ่อนเท้าออกจากคันเร่งก็สามารถลดความเร็วรถได้ขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำโดยไม่ต้องแตะเบรกเลย

        สำหรับตัวมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร การันตีความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 150 กม./ชม. วิ่งทำระยะทางสูงสุดถึง 217 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) พร้อมมีการติดตั้งระบบการจำลองเสียงผ่านทางระบบลำโพงเพื่อเตือนคนเดินถนนขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำอีกด้วย


         MINI Cooper SE สามารถชาร์จจากสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งจากอุปกรณ์มาตรฐานของตัวรถด้วยการใช้ไฟในบ้านโดยตรง ทั้งจากเครื่องชาร์จ MINI ELECTRIC Wallbox ที่มีประสิทธิภาพการชาร์จถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2.5 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 3.5 ชั่วโมง และจากสถานีชาร์จสาธารณะทั่วไป

         โดยตัว  MINI Cooper SE สามารถรองรับหัวชาร์จได้ทุกรูปแบบทั้ง AC และ DC แบบ Type 2 และหัวชาร์จ CCS Combo 2 โดยจะมีไฟบอกสถานะการชาร์จแสดงอยู่เหนือเต้าเสียบใน 3 สถานะด้วยกัน  ได้แก่ ไฟสีส้มขณะเริ่มชาร์จ ไฟกระพริบสีเหลืองระหว่างการชาร์จ และไฟสีเขียวเมื่อชาร์จเต็ม ยิ่งหากชาร์จจากสถานีที่เป็นหัวชาร์จแบบ DC fast-charging จะช่วยให้สำรองพลังงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก โดยตัว MINI Cooper SE ได้รับการออกแบบมาให้รองรับพลังงานในการชาร์จได้สูงสุด 50 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเพียง 36 นาที เลยทีเดียว


        การทดลองขับเจ้า MINI Cooper SE จะเป็นระยะทางไม่ไกลมากนักและเน้นวิ่งอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ เมื่อลองเข้าไปนั่งตำแหน่งผู้ขับต้องยอมรับเลยว่ามนต์เสน่ห์ของ MINI ยังมีอยู่ครบถ้วน ตัวเบาะรูปทรงกระทัดรัดแต่นั่งได้สบาย พวงมาลัยทรงสปอร์ตจับได้ถนัดมือ หัวเกียร์ทรงสูงใช้งานได้สะดวก ปุ่มควบคุมการขับขี่จะจัดวางอยู่ตรงกลางของคอนโซลหน้า ใช้งานแบบกดกระดกดูเก๋ไก๋ดี  สตาร์ทรถไม่มีเสียงการทำงานแบบเครื่องยนต์ปกติมีเพียงการแจ้งความพร้อมการใช้งานที่หน้าปัดเท่านั้น การขับขี่ลองเลือกโหมด GREEN ดูก่อน การออกตัวช้านิดหน่อย การตอบสนองคันเร่งก็ต้องกดลึกขึ้น แต่ได้ความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่พอผ่อนเร่งระบบ one-pedal ช่วย “ดึง” ความเร็วของตัวรถให้ชะลอได้อย่างขันแข็งจนรู้สึกว่า “ดึง” มากไปหน่อย ลองเปลี่ยนไปใช้โหมด SPORT ดูบ้าง อันนี้รู้สึกได้เลยว่าคันเร่งกระฉับกระเฉงขึ้นอย่างรู้สึกได้ การออกตัวทันใจมาก มีแรงดึงระดับ “หลังติดเบาะ” เลยทีเดียว ส่วน ระบบ one-pedal รู้สึก “คุม” ได้ง่ายกว่าโหมด GREEN สามารถขับได้อย่างมั่นใจมากขึ้น


         วิ่งขึ้นทางด่วนสามรถใช้ความเร็วเพิ่มได้อีกหน่อย อัตราเร่ง MINI Cooper SE ไฟฟ้าล้วนทำได้ดี การไต่ความเร็วขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างน่าทึ่ง การเร่งแซงทันใจกว่าเครื่องยนต์แบบธรรมดาพอสมควร ช่วงล่างค่อนข้างแข็งและกระด้างหน่อยตามสไตล์ MINI แต่ขับได้อย่างสนุกและมั่นคงทุกโค้ง ส่วนการบังคับควบคุมรถทำได้ฉับไวและเฉียบคมไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเลนหรือแม้การเข้าโค้ง อีกทั้งยังควบคุมได้อย่างง่ายและเชื่องมือกว่า MINI รุ่นดั้งเดิมเยอะเลยทีเดียว สุดท้ายวิ่งครบทุกจุดตามที่ต้องการในกรุงเทพฯรวมระยะทางเกือบๆ 50 กม. สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าไปไม่ถึง 50% ถือว่าเจ้า  MINI Cooper SE คันนี้สามารถตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งในเมืองและนอกเมืองได้อย่างสบาย แถมยังคงเสน่ห์และเอกลักษณ์ของ MINI ไว้ได้อย่างครบถ้วนซึ่งคงถูกใจแฟนๆของค่าย MINI ได้อย่างไม่น้อย

 


Tags :

view