ทดลองขับ NEW MG4 แฮทช์แบ็คไฟฟ้าขับล้อหลัง

ทดลองขับ NEW MG4 แฮทช์แบ็คไฟฟ้าขับล้อหลัง

      สำหรับ NEW MG4 ELECTRIC รถแฮทช์แบ็คพลังงานไฟฟ้า 100% มาพร้อมคอมเซ็ปต์ “ICON” นิยามของการเป็น “ต้นแบบ” และมาตรฐานใหม่ของรถ EV ในประเทศไทย ด้วยนวัตกรรม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ดีไซน์มาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ กับความสามารถในการนำไปปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์ หลายขนาด ตั้งแต่รถแฮทช์แบ็ค ซีดานไปจนถึงรถกระบะ รวมถึงรองรับแบตเตอรี่หลากหลายความจุ



      โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบ ICONIC DESIGN การออกแบบตัวรถใหม่แบบ AVANT-GARDE INDUCTIVE DESIGN ไฟหน้า LED GALAXY TECHNOLOGY MATRIX HEADLIGHTS ไฟท้าย LED ลาย CGYNUS SYMBOL DECORATIVE LIGHT หลังคาแบบทูโทน พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบ TWIN ARROW WING ล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว พร้อม AERO WHEEL COVER มิติตัวถังยาว 4,287 กว้าง 1,836 และสูง 1,516 มิลลิเมตร ระยะความยาวฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มิลลิเมตร


      ภายในห้องโดยสารเรียบง่ายแต่มีสไตล์ เน้นการใช้งานที่สะดวก เพื่อให้ดูโปร่งโล่งสบาย คอนโซลกลาง FLOATED CENTRAL CONTROL PLATFORM พร้อมอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless charger) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หุ้มหนังปรับ 4 ทิศทางพร้อมควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์ กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ลำโพง 6 จุด รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ สมาร์ทโฟนระบบ Android พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB TYPE A และ C ช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12V ระบบกรองอากาศ PM2.5 เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังพนักพิง ปรับ 60:40 โหมด Intelligent Smart Access เมื่อผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งคนขับ เพียงเหยียบเบรกระบบการทำงานของรถจะสตาร์ทอัตโนมัติ


       มั่นใจด้วยระบบความปลอดภัย ADVANCED SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM ให้อุ่นใจในทุกการขับขี่ ภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System 26 ระบบ ได้แก่ ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)



      ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)  โดยผสานรวมระบบ LDP (Lane Departure Prevention) LKA (Lane Keep Assist) และ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เข้าไว้ด้วยกัน ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ระบบช่วยเบรกขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Braking)  ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)



        ICONIC PERFORMANCE ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้พละกำลังสูงสุดที่ 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร เทคโนโลยี RUBIK’s CUBE BATTERY ขนาดความจุ 51 kWh สามารถวิ่งในระยะทาง 425 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ระบายความร้อนได้เป็นอย่างดีด้วยระบบ LIQUID COOLING SYSTEM ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (DYNAMIC REAR WHEEL DRIVE) ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE) ระบบโครงสร้างพวงมาลัยรูปแบบใหม่ DUAL PINION ควบคุมด้วยไฟฟ้า รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร การกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ควบคู่กับการออกแบบลักษณะ Low Centre of Gravity ที่ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเพื่อการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension โหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT, CUSTOM และ SNOW

 


 

     ส่วนของการทดลองขับ MG4 เราได้มาขับกันในสนามปทุมธานี สปีดเวย์ โดยมีการจำลองสถานการณ์การขับขี่หลายๆรูปแบบเพื่อพิสูจน์สมรรถนะของตัวรถกันอย่างเต็มที่ ดดยสถานีแรกเป็นการทดลองอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ซึ่งในรอบแรกเราลองขับในโหมด NORMAL กันก่อน ในโหมดนี้การออกตัวถือว่านุ่มนวลไม่กระชาก การไต่ความเร็วเป็นไปอย่างเรื่อยๆ การทรงตัวของรถยังคงนิ่งและมั่นคง ผ่านจุดสิ้นสุดการทดสอบต้องลองเบรกเพื่อชะลอความเร็ว MG4 ก็ยังคงทำได้ดี ล้อไม่ล็อค ตัวรถก็ยังถือว่านิ่งและมั่นคง การทำงานของช่วงล่างตรงจุดที่สภาพพื้นผิวถนนเป็นลอนคลื่นจะมีอาการดีดดิ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่มีปัญหาสามารถคุมรถได้ตามปกติ


      ต่อด้วยสถานี  lane change ที่ต้องลองขับ MG4 ผ่านไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูงแถมยังต้องมีการบังคับตัวรถหักหลบสิ่งกีดขวางและยังต้องมีการเปลี่ยนเลนกระทันหัน ซึ่งเจ้า MG4 ที่มีการออกแบบให้ตัวแบตเตอรี่อยู่ในระดับเฟรมช่วยให้ตัวรถมีความสมดุลดีเยี่ยมเหนือกว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นอื่นๆที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างรู้สึกได้ อีกทั้งเป็นรถยนต์ที่ออกแบบให้มีการขับเคลื่อนที่ล้อหลังอีกอันนี้ยิ่งช่วยให้ตัวรถมีอาการ “หน้าดื้อ” แบบรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าน้อยมากๆ การการบังคับตัวรถเป็นไปได้อย่างมั่นคง ระบบพวงมาลัยและการบังคับเลี้ยวก็ฉับไวมาก ทำให้สามารถผ่านจุดนี้ไปได้อย่างสวยๆเหนือกว่ารถยนต์ทั่วไปอีกหนึ่งขั้น  แถมอัตราเร่งยามเข้าและออกโค้งก็เป็นไปอย่างนุ่มนวล ต่อเนื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่าตรงจุดนี้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำได้ดีกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเห็นได้ชัด


       ในรอบที่สอง เราลองปรับโหมดการขับขี่มาเป็น SPORT ดูบ้าง ช่วงลองอัตราเร่งทางตรงการออกตัวดูกระฉับกระเฉงมากขึ้น อัตราเร่งช่วงต้นไปถึงกลางก็ทันใจกว่าโหมดก่อนแบบรู้สึกได้ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันระดับหน้ามือเป็นหลังมือ การทรงตัวช่วงทางตรงแม้ต้องวิ่งด้วยความเร็วที่สูงขึ้นก็ยังทำได้ดีและมั่นคงอยู่เหมือนเดิม ต่อด้วยช่วง lane change สามารถเข้าและออกโค้งได้เร็วขึ้นตามโหมด ซึ่งการที่ต้องขับเอาตัวรอดจากอุปสรรคต่างๆเลยทำได้ดีกว่าโหมดเดิมทั้งการเข้าและออกโค้งที่แม่นยำขึ้น อีกทั้งยังใช้เวลาในการเอาตัวรอดน้อยกว่าซึ่งเวลาฉุกเฉินเพียงเสี้ยววินาทีก็ชี้เป็นชี้ตายแล้ว


      ถัดจาก 2 สถานีแรกก็ต้องย้ายไปอีกด้านของสนามทดสอบเพื่อทดลองขับในเส้นทางหลายๆแบบและยังสามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้นใกล้เคียงบนท้องถนนจริง แต่มีความปลอดภัยมากกว่าเพราะอยู่ในสนามปิดเพื่อทดลองขับโดยเฉพาะ ช่วงแรกออกตัวเราสามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้นซึ่งใกล้เคียงกับบนท้องถนนจริง ขับเข้าโค้งซ้าย-ขวาด้วยความเร็วสูง ตัวรถมีการถ่ายเทน้ำหนักที่ดีจนหน้าแปลกใจ การเอียงไปมาตามโค้งมีน้อยกว่ารถทั่วๆไปอย่างรู้สึกได้ บางช่วงต้องผ่านเนินลูกระนาดตัวรถก็เก็บการกระแทกได้ดีไม่มีเสียอาการ บางช่วงต้องเบรกก่อนเข้าโค้งอาการหน้าทิ่มก็มีน้อยแถมไม่มีอาการ “หน้าดื้อ” ผู้ขับสามารถบังคับพวงมาลัยเอาตัวรอดให้รถผ่านไปได้อย่างสบาย


      บางจังหวะต้องขับเข้าโค้งแคบด้วยความเร็วสูงหน่อย MG4 จะมีอาการ “ท้ายออก” นิดๆพอสวยๆทำให้สามารถขับต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา ยิ่งตอนเข้าโค้งกว้างพร้อมเดินคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วก็ยังสามารถบังคับควบคุมตัวรถอยู่ในเลนได้อย่างแม่นยำและมั่นคง ซึ่งในรอบต่อมาได้ลองปรับเป็นโหมด SPORT ด้วยยิ่งทำให้เจ้า MG4 คันนี้ขับได้อย่างสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยอัตราเร่งที่เร้าใจขึ้นแถมการบังคับควบคุมที่แม่นยำ การทรงตัวที่สมดุลจนน่าทึ่ง


       สรุป MG4 แฮทช์แบ็คไฟฟ้าขับล้อหลัง คันนี้ได้รับการออกแบบมาในอีกสไตล์ด้วยระบบขับเคลื่อนที่ล้อหลัง การจัดวางแบตเตอรี่ใหม่ตรงกลางเฟรม ปรับการการกระจายน้ำหนักที่สมดุลทั้งคัน แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าระดับเดียวกันรุ่นอื่นๆในท้องตลาด จนกลายเป็นรถที่ขับสนุก ขับดี แถมราคาค่าตัวก็อยู่ในระดับที่ “รับได้” อีกด้วย

Tags :

view